การ aging หรือกระบวนการชราภาพเป็นสิ่งที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่าในชีวิตประจำวันของเรามีพฤติกรรมบางอย่างที่สามารถเร่งกระบวนการ Aging ได้โดยที่เราไม่รู้ตัว และอาจส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมและความสวยงามของผิวพรรณในระยะยาว ดังนั้นการรู้จักและระวังพฤติกรรมที่ทำให้เกิดการ Aging จะช่วยให้เราอยู่ในสภาพร่างกายที่ดีและชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ได้
ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันที่เร่งการ Aging โดยไม่รู้ตัว เพื่อให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงหรือปรับพฤติกรรมเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. การนอนดึกและการนอนหลับไม่เพียงพอ
การนอนหลับไม่เพียงพอเป็นหนึ่งในพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อกระบวนการ Aging อย่างมาก เมื่อเรานอนน้อยกว่า 7-8 ชั่วโมงต่อคืน ร่างกายจะขาดโอกาสในการฟื้นฟูตัวเองและซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย รวมทั้งผิวพรรณ โดยเฉพาะการฟื้นฟูคอลลาเจนในผิวซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความยืดหยุ่นและความเต่งตึงของผิว
นอกจากนี้การนอนดึกยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดริ้วรอยและจุดด่างดำบนผิวหน้าด้วย เพราะการขาดการหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์จะทำให้เซลล์ผิวเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ
คำแนะนำ: ควรนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงทุกคืน และพยายามสร้างกิจวัตรการนอนที่มีคุณภาพ เช่น เข้านอนเวลาเดียวกันทุกวันและหลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอน
2. การรับประทานอาหารที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ
อาหารที่มีไขมันสูง, น้ำตาลสูง และแป้งขัดขาวเป็นอาหารที่เร่งกระบวนการ Aging เพราะมันทำให้เกิดการอักเสบในร่างกายและทำให้การผลิตคอลลาเจนลดลง ซึ่งส่งผลให้ผิวพรรณสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดริ้วรอยก่อนวัย
การรับประทานอาหารที่ไม่มีสารต้านอนุมูลอิสระหรือสารอาหารที่บำรุงผิวจะทำให้การเสื่อมสภาพของเซลล์เร็วขึ้น โดยเฉพาะการทานอาหารขยะอย่างต่อเนื่องซึ่งมีผลต่อสุขภาพโดยรวมทั้งในด้านผิวพรรณและระบบภายในร่างกาย
คำแนะนำ: ควรเลือกรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักใบเขียว, ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่, และปลาแซลมอน เพื่อช่วยชะลอการ Aging และรักษาผิวให้สดใส
3. การสัมผัสแสงแดดโดยไม่ปกป้องผิว
แสงแดดเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดการ Aging ของผิวมากที่สุด การโดนแสงแดดที่มีรังสียูวี (UV) โดยไม่ทาครีมกันแดดสามารถทำให้ผิวเกิดการทำลายจากรังสีที่สามารถทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวได้ ซึ่งส่งผลให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดริ้วรอยและจุดด่างดำได้ง่าย
คำแนะนำ: ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน และหมั่นทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะในช่วงกลางวันเมื่อแสงแดดแรง
4. การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและการสูบบุหรี่ส่งผลต่อการ Aging ของผิวอย่างชัดเจน แอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายขาดน้ำ ทำให้ผิวแห้งและหย่อนคล้อย ส่วนการสูบบุหรี่ทำให้ผิวสูญเสียคอลลาเจนและทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี ส่งผลให้ผิวหมองคล้ำและเกิดริ้วรอยได้ง่าย
คำแนะนำ: ควรลดการดื่มแอลกอฮอล์และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพื่อให้ผิวพรรณดูสดใสและมีสุขภาพดี
5. การเครียดและวิตกกังวล
ความเครียดเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เร่ง Aging โดยที่เรามักไม่ทันได้สังเกต เพราะเมื่อเรามีความเครียด ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลในปริมาณมาก ซึ่งสามารถทำลายเซลล์ผิวและทำให้เกิดการอักเสบ นอกจากนี้ยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ส่งผลให้ผิวหนังมีปัญหาต่าง ๆ เช่น สิว หรือผิวแห้งกร้าน
คำแนะนำ: ควรหาวิธีผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ, การออกกำลังกาย, หรือการฝึกหายใจลึก เพื่อบรรเทาความเครียดและลดผลกระทบต่อการ Aging
6. การใช้เครื่องสำอางที่มีสารเคมีรุนแรง
การใช้เครื่องสำอางที่มีสารเคมีรุนแรงเป็นระยะเวลานานอาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและสูญเสียความชุ่มชื้น การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวและปราศจากสารเคมีอันตรายจะช่วยลดการเกิดริ้วรอยและการอักเสบต่าง ๆ บนผิว
คำแนะนำ: ควรเลือกใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติและเหมาะสมกับสภาพผิวของคุณ
7. การนั่งทำงานหรือใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
การนั่งทำงานหรือใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานโดยไม่ขยับตัวหรือเปลี่ยนท่าทางอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของการดูแลผิวพรรณและกล้ามเนื้อ ท่าทางที่ไม่เหมาะสมในการนั่งทำงาน เช่น การนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ในท่าเดิมตลอดเวลา อาจทำให้เกิดการ ตึงของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าและคอ ซึ่งสามารถส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดและการทำงานของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้อง การตึงของกล้ามเนื้อเหล่านี้อาจทำให้เกิด ริ้วรอย ได้ง่าย โดยเฉพาะในบริเวณรอบ ๆ คอและใบหน้า ซึ่งเป็นส่วนที่บอบบางและแสดงถึงความเครียดหรือความเมื่อยล้าของร่างกาย
คำแนะนำ: ที่ควรปฏิบัติในการลดผลเสียจากการนั่งทำงานหรือใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานคือ การ หมั่นขยับตัว ทุก ๆ 1-2 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยและการปวดเมื่อยจากการนั่งในท่าเดิมเป็นเวลานาน นอกจากนี้ยังควร พักสายตา ทุก ๆ 20-30 นาที โดยการมองไปที่วัตถุที่อยู่ไกล ๆ หรือปิดตาสักครู่ เพื่อให้สายตาได้พักผ่อนจากการมองจอคอมพิวเตอร์ที่มีแสงสีฟ้า นอกจากนี้การใช้ แว่นตากรองแสงสีฟ้า หรือการตั้งค่าหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้มีความสว่างน้อยลงก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยลดผลกระทบจากแสงสีฟ้าได้
สรุป
การชะลอ Aging หรือกระบวนการแก่ตัวลงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ต้องอาศัยความรู้และการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันอย่างมีระเบียบวินัยเพื่อรักษาความสดใสและสุขภาพที่ดีในระยะยาว กระบวนการ Aging หรือการเสื่อมของร่างกายและผิวพรรณเกิดขึ้นตามธรรมชาติ แต่สิ่งที่เราสามารถทำได้คือการชะลอให้ช้าลงหรือทำให้ผลกระทบของมันเบาบางลง ซึ่งจะช่วยให้เราใช้ชีวิตในวัยสูงอายุด้วยความแข็งแรงและเต็มไปด้วยพลัง การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูงหรือไขมันทรานส์จะทำให้เกิดการสะสมของสารพิษในร่างกาย ซึ่งส่งผลให้เกิดการอักเสบและทำให้ผิวหนังเสื่อมสภาพเร็วขึ้น อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น ผักและผลไม้สด สามารถช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวและชะลอการเสื่อมของร่างกายได้ นอกจากนี้การดื่มน้ำให้เพียงพอยังเป็นการรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว ซึ่งช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์





